เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันสำคัญนะ วันนี้เป็นวันปิยมหาราช เราทำบุญกัน เขาให้หยุดราชการมาทำบุญ ทำบุญแล้วเวลาอุทิศส่วนกุศลนะ เจาะจงอุทิศส่วนกุศลให้คนเป็นก็ได้หรือให้คนตายก็ได้ การอุทิศส่วนกุศลคือการเจาะจง นี่อุทิศส่วนกุศลก็จะถามกันว่า แล้วได้รับหรือไม่ได้รับ คำว่าได้รับหรือไม่ได้รับเนี่ย ถ้าเรามองกันเห็นไหม มันเป็นวัตถุ อย่างปรทัตตุปชีวิกเปรตจะได้รับผลบุญ

ดูสิ เวลาเขาตายไปเห็นไหม เขาไปที่ยมบาล เพราะเวลาตายไปคนไม่ได้ทำบุญ.. หรือคนทำบุญอะไรก็ได้อย่างนั้น สิ่งนี้มันเป็นอามิส มันเป็นสิ่งที่เขาเห็นกัน นี่จริงเท็จ ถ้ามันเห็นกัน มันเป็นอามิส คือวัตถุที่จับต้องได้ แต่ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหมล่ะ เทวดา อินทร์ พรหมเขาสูงกว่า แต่ค่าน้ำใจ อุทิศส่วนกุศลให้คนเป็น

ดูสิ ดูในสังคมเรา ถ้าทุกคนรู้จักเสียสละ ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน แต่ทุกคนมันไม่ยอมเสียสละเห็นไหม เนี่ยค่าน้ำใจ ถ้าค่าน้ำใจการอุทิศส่วนกุศล ให้คนเป็นเห็นไหม ให้เขาทำแต่สิ่งที่ดีงาม เรามีความปรารถนาดีกับเขา หัวใจเราเปิดกว้าง หัวใจเรามีความเป็นคุณธรรม ไปที่ไหนมันอบอุ่นนะ

ถ้าหัวใจของเรา มันเบียดเบียนเราเองก่อนเห็นไหม เราเองไม่พอใจ เราว่าเราขาดตกบกพร่อง เราเป็นผู้เสียหาย เราเป็นผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดูสิ คนที่เขาประชดสังคม ผู้ที่ทำความกระทบกระเทือนสังคม เพราะอะไร เพราะเขาอ้างข้อนี้ไง อ้างว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมตลอด

ถ้าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม สังคมเบียดเบียนเขา สังคมทำร้ายเขา เขาต้องประชดสังคม เขาต้องทำร้ายสังคม ถ้าทำร้ายสังคมพวกเราก็กระเทือนไปด้วย เพราะเราเป็นสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ แต่ถ้ามนุษย์รู้จักอิ่มพอ รู้จักเวรรู้จักกรรม เพราะอะไร เพราะเรามีธรรมะ เรามีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มนุษย์เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราเป็นมนุษย์เห็นไหม สัตว์ มนุษย์ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเกิดของเรา เกิดในครอบครัวเดียวกัน เกิดในสังคมเดียวกัน กรรมมันจำแนกนะ เขาจะจุนเจือกัน เขาจะพยายามช่วยเหลือขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่กรรมมันจำแนก สิ่งวัตถุมันเป็นไปได้ มันพอได้อยู่ แต่หัวใจล่ะ หัวใจมีความน้อยเนื้อต่ำใจตลอดเวลา หัวใจมันบีบคั้นเราเห็นไหม

ถ้าใจมันไม่มีการเสียสละ มันไม่มีความเป็นธรรม มันเบียดเบียนเราก่อน แล้วเราก็ไปเบียดเบียนสังคม ถ้าเบียดเบียนสังคม การอุทิศ การเสียสละ มันฝึกฝนเราไง ฝึกฝนเราให้เห็นคุณธรรมอันนี้ สิ่งที่มันจะอัตคัดขัดสน เราจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนเห็นไหม

การให้อภัย การให้อภัยเป็นทาน อนุโมทนาทาน อย่างนี้ไม่ต้องใช้วัตถุเลยนะ เราจะน้อยเนื้อต่ำใจเราเลยว่าเราเป็นคนที่ขาดแคลน เราจะทำบุญกุศลได้ไม่เหมือนเขา ทำไมเราไม่อนุโมทนาไปกับเขา ถ้าอนุโมทนาไปกับเขาเห็นไหม เห็นเขาทำคุณงามความดีกัน

ดูสิ เราเห็นเด็กมันเล่นมีความร่มเย็นเป็นสุข เรามีความสุขไหม เรามีความชื่นใจไหม นี่ก็เหมือนกัน ในสังคมที่ความร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีความสุขใจ อนุโมทนาไปกับเขา สิ่งที่ให้อภัยเป็นทาน สิ่งนี้เป็นนามธรรมทั้งหมด มันไม่ต้องอาศัยวัตถุเลย สิ่งที่เป็นนามธรรม สังคมกลับร่มเย็นเป็นสุขนะ เพราะสังคมมันอยู่ที่อุดมคติของคนก่อน อยู่ที่ความคิดของคนก่อน พื้นฐานของคน ถ้าพื้นฐานของคนคิดแต่สิ่งดีๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันเหมือนกับทางศาสนานี้

ดูสิ เวลาเราถือศีล ๕ ถือศีล ๘ หรือออกมาประพฤติปฏิบัติ มันทำให้สังคมนี้มันจะไม่สืบต่อ สังคมจะอยู่กันไม่ได้ นี่มันเป็นความคิดไง แต่ความจริงมันเป็นไปได้ไหม เราถือศีล ๕ ถ้าถือศีล ๕ คนมีความบริสุทธิ์ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขมาก แต่นี้ถือศีล ๕ กันที่ปากไง แล้วมันเป็นไปได้ไหม

ดูสิ แม้แต่โกหก มุสา การมุสาเนี่ย...ทำให้เครดิตเราไม่มีเลย ทำให้ไม่มีใครไว้วางใจเราเลย เพราะเราเองเรายังไม่ซื่อสัตย์กับตัวเราเองเลย เราพูดอะไรออกไปแล้วมันเป็นสัญญาประชาคมแล้วนะ ว่าเราต้องทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนั้น แล้วทำได้ไหม แล้วถ้าเราทำไม่ได้ เราพูดออกไปทำไม เราพูดออกไปมันเป็นมุสา

สุราเห็นไหม เราเมา เมาในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ เมาในสิ่งต่างๆ เมาในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราเมาหมดนะ แต่เราเห็นว่าสุราเมระยะเป็นเครื่องดองของเมา แต่เราเมาในกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราก็ไม่รู้จักเลย

ธรรมเมา.. ธรรมะ.. ธรรมะคือมีสติสัมปชัญญะ เราจะรู้จักตัวเราเองก่อน

แต่ถ้าธรรมเมานะ ธรรมะว่าเป็นธรรมะ มันไปเมาไง เมาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไปลูบๆ คลำๆ ลูบๆ คลำๆ แล้วทำไม่ถึงหัวใจ มันเข้าไม่ถึงใจ

แต่ถ้ามันเข้าไปถึงใจนะ ดูสิ ดูเราเสียสละทานนะ ทำให้มันออกมาจากหัวใจ ดูคนที่เข้าถึงธรรมเห็นไหม จะเสียสละนะ อนุโมทนายกจบบนหัว มันซาบซึ้งไง มันซาบซึ้ง มันเห็นคุณการกระทำนี้ เห็นการเสียสละนี้ เราเสียสละขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อพัฒนาใจของเรา ใจเราเสียสละออกไปเพื่ออะไร ก็เพื่อให้มันเปิดกว้าง ให้มันควรแก่การงาน

ถ้าใจมันหมักหมม ใจมันตระหนี่ ใจมันกว้านเข้ามา เนี่ยมันอยู่ที่ความตระหนี่ อยู่ที่ความเป็นธรรม ถ้ามันเป็นความเป็นธรรม หัวใจมันจะไม่เรียกร้องสิ่งใดๆ เลย เพราะมันเข้าใจในธรรมไง แต่ที่มีความตระหนี่ มันตระหนี่ของมัน แล้วมันก็เรียกร้องว่ามันขาดตกบกพร่อง มันโดนสังคมรังแก เพราะมันตระหนี่ มันต้องการ มันคาดหมาย มันมีตัณหาความทะยานอยากของมัน

นี่ใครทำเรา ใครทำเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากทำเราใช่ไหม นี่วันสำคัญในชาติของเรา ถ้าเราไม่มีกษัตริย์ ไม่มีการปกป้อง ไม่มีการดูแลรักษา ชาติจะมาได้อย่างไร เราเกิดมาในประเทศอันสมควร เราเกิดมาเราได้เสวยสุข เราต้องมีความกตัญญูกตเวทีเห็นไหม เรามีพ่อเรามีแม่ เรามีวงศ์ตระกูลของเราเลี้ยงดูกันมา ดูแลกันมา เขามีบุญคุณไหม มีบุญคุณทั้งนั้นแหละ บุญคุณอย่างนี้มันเป็นบุญคุณที่เป็นความอบอุ่น มันเป็นบุญคุณที่เข้ามาสมานกันด้วยหัวใจนะ

บุญคุณจากภายนอกเห็นไหม ดูการเสียสละ ดูรัฐบาลเขามีรัฐสวัสดิการ เขาแจก เขาแถม เขาให้ทุกอย่าง แล้วเราได้อะไรขึ้นมาล่ะ สิ่งนี้มันเจือจานกันได้นะ สิ่งที่มันเป็นคุณงามความดี เป็นในเรื่องของใจ

เรื่องของความสามัคคีในหัวใจ สามัคคีกับเรานะ คบบัณฑิต คบแต่สิ่งที่มีความดีงาม ไม่คบพาล ไม่คิดชั่ว คิดชั่วคือคบพาล หัวใจมันคบอารมณ์เป็นเพื่อนนะ เพื่อนสอง พุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่เป็นอารมณ์ที่สอง อารมณ์พุทโธ อารมณ์ความรู้สึก พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนเป็นหนึ่งเดียวเห็นไหม จิตหนึ่งเดียว จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิหนึ่งเดียวเห็นไหม นี้จิตเราเป็นสอง ความคิดกับจิต ความคิดกับความรู้สึกแล้วเราคบมัน

เราคบเพื่อนที่ดี เราคบความคิดที่ดีเห็นไหม นี่หมั่นคิด คิดสิ่งที่ไม่ดีเราต้องปัดมันออก แต่คิดในสิ่งที่ดีต้องมีคันเร่ง ถ้าคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีต้องเบรกกันไว้ พยายามเบรกไว้ หักห้ามไว้ มีสติสัมปชัญญะหักห้ามไว้

แต่คิดในสิ่งที่ดีเห็นไหม เราต้องเหยียบคันเร่ง เพราะคนเราเกิดมา ๑๐๐ ร้อยปีอย่างมากนะ ชีวิตเราต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตเราต้องมีการตายเป็นที่สุด เราจะทำการสิ่งใดกับเราบ้าง

ที่เกิดมานี่เป็นผลบุญผลกรรม แล้วเวลาเกิดไปข้างหน้าเราจะเอาอะไรเกิดไป คนจะเดินทางมีเสบียงสัมภาระจะมีความอบอุ่นมาก ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราไว้ เราไปที่ไหนเราก็มีของเราไป สิ่งที่เราต้องไปอยู่ แต่ถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ถึงที่สุดล่ะ เราก็ทำของเราได้ ถ้าเราตั้งสติของเรา

เอาปัจจุบันนี้ เอาสิ่งที่ความเป็นไปในปัจจุบันนี้ เอาความรู้สึก เอาความคิดนี้ไว้ในอำนาจของเรา จนเป็นหนึ่งเดียวกับจิต จิตหนึ่งเดียว จิตเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตควรแก่การงาน ควรแก่การวิปัสสนาออกไป มันจะเป็นวิปัสสนาเพราะจิตมันทำงานทำตามสัจธรรม จิตมันเป็นอริยสัจ จิตมันไม่ใช่ทำโดยสามัญสำนึก โดยโลกียปัญญา

สามัญสำนึกคือเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากฐานของความคิด ความคิดไม่ใช่จิตจิตอาศัยความคิด ความคิดเกิดจากจิต จิตคือภวาสวะ จิตคือภพ จิตคืออวิชชา จิตคือพญามาร เวลามันคิดออกไปมันก็คิดโดยมาร คิดโดยสามัญสำนึก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะนั้นมันถูกต้อง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง แต่เราไม่ถูกต้อง

เราเองคนคิดผิด คนคิดผิดก็คือคนคิดมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคาดหมายผิด ตัณหาความทะยานอยากมันคาดหมาย มันให้ค่าผิดหมดเลย แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมนะ พอจิตมันเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตมันตั้งมั่นเห็นไหม มันให้เป็นสัจจะความจริง มันเห็นจริงของมัน

เห็นจริงของมัน ดูสิ พิจารณากายเห็นกาย มันจะแปรเป็นสัจธรรม มันแปรสภาพของมันไปโดยสัจธรรม แต่ถ้ามันเป็นของเรา เป็นสามัญสำนึก เราคิดให้มันเป็นไปเห็นไหม มันเป็นจินตมยปัญญา มันก็เป็นไปได้.. มันเป็นไปได้ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน คนคิดได้ คนคิดไม่ได้ไง

ดูสิ ดูเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม จะออกบวช พวกนางฟ้อนรำมันฟ้อนรำให้ดูก่อน แล้วหลับไป นอนหลับไปก่อน พอฟ้อนรำจนเขาเหนื่อยเขาก็นอนที่ท้องพระโรง ตื่นขึ้นมา เห็นไหม เห็นเป็นซากศพหมดเลย นี่มันเป็นบุญญาธิการนะ มันเห็นสภาพว่านี่เป็นซากศพเหมือนซากศพที่เขานอนอยู่ มันเกิดความเบื่อหน่าย มันเบื่อหน่ายในโลก โลกเป็นอย่างนี้เอง โลกเป็นสมมุติ โลกเป็นสิ่งที่อาศัยกันอยู่ชั่วคราว แต่ชั่วคราวตามความเป็นจริงนะ

ดูซิ ถ้ามันเป็นกิเลสที่ชั่วคราว ชั่วคราวเราก็ไม่ต้องไปรับผิดชอบมัน ชั่วคราว.. สังคมจะทำอย่างไรเราเอาแต่ประโยชน์ของเรา ความชั่วคราวมันจริงตามความชั่วคราวไง มันกระเทือนไปกันหมด จริงชั่วคราวหมายถึงสรรพสิ่งจริง วันนี้ก็จริง พรุ่งนี้ก็จริง เมื่อวานก็จริง มันจริงมาตลอด มันจริงๆ ตามสมมุติ มันเป็นอนิจจัง มันไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นสัจจะความจริงเลย แต่มันเป็นจริงตามสมมุติ เขาสมมุติขึ้นมา สมมุติความเห็นของเราขึ้นมา

แต่ถ้าเป็นความจริงของเรา จิตมันจะสงบเข้ามาจากภายในเห็นไหม ความจริงอันนี้มันจะฝังใจ.. ฝังใจนะ โลกเขาไม่มี ความสงบหาซื้อไม่ได้ ปัญญาซื้อไม่ได้ เชาว์ปัญญาหาซื้อไม่ได้ ปฏิภาณไหวพริบของคนหาซื้อไม่ได้ สิ่งนี้มันเป็นการสร้างสม เป็นการพัฒนา เป็นการวิวัฒนาการของจิต จิตมันพัฒนาการของมันขึ้นมานะ

สิ่งใดที่เกิดขึ้นมาในปัจจุบันนี้ มันเป็นปัจจุบันธรรม เราต้องยอมรับสิ่งนี้ เพราะเราทำมา เราสร้างมา มันเป็นไป แล้วเราอยู่ในสังคมอันร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ร่มเย็นเป็นสุข ดูสังคมรอบข้างสิ เขามีความสุข เขาเห็นสังคมไทยว่าร่มเย็นเป็นเป็นสุข ทำไมมันมีมีการกระทบกระเทือนกันมาก เราดูสังคมนอกประเทศไทย ดูสังคมโลก มันขึ้นๆ ลงๆ นะ แต่สังคมของเรามันร่มเย็นเป็นสุข เพราะมันมีการให้อภัยทานกันมา ถึงที่สุดแล้วมันเป็นไปได้

นี่ก็เหมือนกัน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งที่เราทำมาเราต้องแก้ไขของเราไป เราอย่าไปท้อแท้ ความท้อแท้ความเฉาของใจ นั่นแหละ กิเลสมันซ้ำเติม แต่ถ้าเราเห็นว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมา แล้วเราแก้ไขของเราเห็นไหม สิ่งที่ทำไปแล้วให้เป็นบุญของเรา บุญจริงๆ อุทิศส่วนกุศลให้เป็นความกตัญญูกตเวทีกับแผ่นดิน กับจิตใจของเรา ภพก็เป็นชาติอันหนึ่งนะ แผ่นดินในใจ ภวาสวะ ตัวภพ แผ่นดินข้างนอก แผ่นดินข้างใน เห็นแผ่นดินข้างในของเราไหม

เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น นี่แผ่นดิน ชัยภูมิในสถานที่ควรแก่การงาน งานของโลกอยู่ที่ตลาด มีตลาดมีการค้า งานตลาดนี้ เราต้องทำธุรกิจของเรา นี่แผ่นดินจากภายนอก ตลาดจากภายในไง ตลาดจะมีศรัทธา มีความเชื่อ มีความองอาจกล้าหาญ ตลาดกำลังรุ่งเรืองมาก แต่ถ้ามันเฉา มันเหงา มันหงอยนะ ตลาดจะวาย เราจะทำอะไรของเราได้ สิ่งนี้เราต้องปลุกปลอบใจของเรานะ

มันเป็นบุญเป็นกรรม เราถึงเกิดมาพบกัน แล้วสิ่งที่ทำบุญกรรมแล้วนี่ สิ่งที่เป็นบุญกรรมมันเป็นเรื่องของความรู้สึก มันเป็นเรื่องของภายใน สังคมโลกอย่างหนึ่ง

ดูสิ เกิดฤดูกาล ฝนตกแดดออกมันก็เป็นฤดูกาลอันหนึ่ง ชีวิตก็เหมือนกันมันแปรสภาพไปตามอย่างนั้น มันมีของมันจริงๆ แต่มันเป็นชั่วคราว แล้วก็จะหมุนเวียนอย่างนี้ ธรรมชาติจะเป็นสภาวะแบบนี้

จิตใจที่เป็นธรรมมันเหนือธรรมชาติ มันเข้าใจธรรมชาติ และอาศัยใช้ธรรมชาติเป็นประโยชน์กับเรา ทรัพยากรใช้เป็นประโยชน์กับเรา ใช้ประโยชน์ตามความจำเป็น ทุกคนต้องใช้เหมือนกัน ทรัพยากรภายนอก ทรัพยากรของเราคือความรู้สึก คือหัวใจ คือจิตของเรา สำคัญที่สุดเพราะมันไม่เคยตาย มันจะอยู่กับเรา ความทุกข์ ความเศร้า ความหมอง มันอยู่กับจิตตลอดไป เราทำให้มันรื่นเริงอาจหาญ แล้วมีการกระทำเห็นไหม

วิปัสสนาญาณ แล้วชำระมันเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไปถึงที่สุดเราจะมีความสุขจริงๆ วิมุตติสุขเกิดจากความรู้สึกอันนี้ แต่อาศัยจากสภาวะแวดล้อม อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยศรัทธาความเชื่อ อาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงที่สุดแล้วมันจะเป็นตัวของมันเอง

เกิดขึ้นจากความตั้งใจนะ เราตั้งใจ มีสติสัมปชัญญะ เรื่องข้างนอกเป็นเรื่องข้างนอก ใจเขาใจเรา สังคมเป็นอย่างนี้ เราอยู่กับเขาแต่ไม่ไปแบกรับมันจนหนักหน่วงเกินไป เรารับรู้นะ เราต้องอยู่กับเขา แต่มันเป็นอย่างนี้แล้วเราก็ต้องปล่อยเขาไปตามความเป็นจริง รักษาใจของเรา รักษาความรู้สึกของเรา รักษาสิ่งที่เป็นคุณงามความดี สิ่งดีงามของเรา เราทำดีของเราอยู่คนเดียว เขาไม่ทำกับเราๆ ก็เนื้อน้อยต่ำใจ เราจะไปทำเลวกับเขา ไม่สมควรเลย

เขาจะเป็นอย่างไร เขาทำคุณงามความดีก็อนุโมทนาไปกับเขา เขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตามความเห็นของเขาอันนั้นคือกรรมเขา เรารักษาใจเรา แล้วสร้างสิ่งที่ดีๆ เพื่อเอาเรารอดพ้นจากตัณหาความทะยานความอยาก จะเป็นสมบัติของเรา เอวัง